บริการรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานเรื่องของสุขภาพกับความงามไว้ด้วยกัน และกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เรียกกันรวมๆ ว่า สปา (Spa)
สถานที่ที่บริการเพื่อการบำบัดและฟื้นฟูสภาพร่างกาย จิตใจ มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการสุขภาพเฉพาะทาง การออกกำลังกายรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งมีทั้งแนวทางของตะวันตกและทางตะวันออก รวมทั้งแบบพื้นบ้านของไทย เช่น โนราบิก ฟ้อนทางภาคเหนือและภาคอีสาน รำกระบอง มวยไทยเพื่อสุขภาพ เป็นต้น สามารถเลือกรับบริการได้ตามความเหมาะสม
อะไรคือ สปา
ที่มาที่ไปของคำว่า”สปา”นั้นมาจากหลายข้อสันนิษฐาน เช่น สปามีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น คือการแช่หรือการอาบน้ำแร่ธรรมชาติ ที่นิยมกันมากในประเทศญี่ปุ่น ด้วยมีความเชื่อกันว่าความร้อนของน้ำแร่ ธรรมชาติจะช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยและสดชื่น
ซึ่งหมายรวมไปถึงการอบซาวน่าและการอบไอน้ำ
สปา มาจากรากศัพท์ภาษา ละติน (SPA – Sanus Per Aqua) หมายถึงการใช้ประโยชน์จากน้ำพุร้อน หรือน้ำแร่ธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ เพราะแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำแร่ช่วยกระตุ้น ให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
สปา มาจากชื่อเมือง SPA ในศตวรรษที่ 16 อยู่ทางตะวันออกของประเทศเบลเยียม มีชื่อเสียงด้าน การอาบน้ำแร่ เพราะบรรดาเหล่าขุนนางและทหารที่กลับจากการทำศึกสงคราม มักแวะมาผ่อนคลายที่เมืองนี้ เมื่อร่างกายสบาย จิตใจย่อมสบายตามไปด้วย การไปสปาจึงหมายความถึงการไปสถานที่ที่ทำให้ผ่อนคลาย (ร่างกายและจิตใจ)
ณ ศตวรรษที่ 21 นี้ สปาไม่ได้เป็นสถานที่เฉพาะทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงเรื่องของความสวยความงามด้วย องค์กรสปาระหว่างประเทศ มีสปาที่เป็นสมาชิกมากกว่า 1,900 แห่ง จาก 53 ประเทศทั่วโลก ประกาศว่า “สปา” ในวันนี้ไม่ได้หมายถึงสถานที่บำบัดรักษาสุขภาพด้วยน้ำเพียง อย่างเดียว แต่ยังเป็นสถานที่ให้คนไปคลายครียด เพิ่มพลังชีวิต แนวคิดเรื่องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมท่ามกลางสังคมบริโภคนิยม ที่คนส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ทำใหมีความต้องการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อเติมพลังชีวิตให้ฟื้นกลับมากระปรี้กระเปร่าพร้อมที่จะต่อสู้กับภารกิจในวันต่อไป
สปากับประสาทสัมผัสทั้งห้า
การผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์แห่งการบำบัดร่างกายและจิตใจ รวมถึงเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สามารถรับพลังจากธรรมชาตินั้น สปาหลายรูปแบบเป็นการรวมบรรยากาศของประสาทสัมผัสทั้งห้าไว้ด้วยกัน ประกอบด้วย
1.รูป การสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย เพิ่มความสดใสสดชื่นให้กับสถานที่ด้วยสีเขียวจากต้นไม้นานาชนิด แต่งแต้มด้วยสีสันหลากสีของดอกไม้ เสมือนภาพธรรมชาติที่มีชีวิต
2.รส การกินอาหารแบบครัวสปา (spa cuisine) คือการกินอาหารสุขภาพถูกสัดส่วน (ทางสายกลาง ไม่มาก ไม่น้อย) เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย
3.กลิ่น การใช้กลิ่นหอมบำบัดตามหลักการของอโรมาเทอราพ (aromatherapy)
4.เสียง การได้ฟังดนตรีเบาสบายแนว spiritual music หรือเสียงแบบธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล เสียงคลื่น
5.สัมผัส การได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนทะนุถนอม จาก spa therapist เพื่อบำบัดร่างกายและจิตใจให้เข้าสู่ภวังค์ เพื่อนำสู่การผ่อนคลายอย่างลึกล้ำ
สปา มี กี่ประเภท
สปามีหลายประเภท
1.รีสอร์ตและโรงแรมสปา (resort and hotel spa) สปาที่เปิดบริการในโรงแรมและรีสอร์ต ซึ่งแขกในโรงแรมจะใช้ บริการหรือไม่ก็ได้
2.เดสทิเนชั่นสปา (destination spa) สปาที่มีห้องพักค้างคืน ขายห้องพักพร้อมโปรแกรมสปาก้อนเช็กอินจะมีการตรวจสุขภาพ
เพื่อเลือกโปรแกรมที่เหมาะสม เช่น คนที่เป็นโรคหัวใจ ความดันเลือด เบาหวาน หรืออยู่ไฟหลังคลอด
3.เมดิคอลสปา (medical spa)การนำธรรมชาติบำบัดมาผสมผสานกับบริการทางการแพทย์ ดำเนินการโดยบุคลากรทางการแพทย์ การเปิดบริการสปาประเภทนี้จะต้องมีใบประกอบโรคศิลปะดำเนินการ
โดยบุคลากรทางการแพทย์ มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
4.เดย์สปา (day spa) สปาที่ไม่มีห้องพักค้างคืน มีบริการด้านสุขภาพความงามเข้ามาด้วย และมักจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง เหมาะสำหรับคนทำงานออฟฟิศ มีเวลาน้อย การไป day spa เป็นการบำบัดสุขภาพที่สะดวกและง่ายที่สุด ใช้เวลาน้อยแต่สามารถบำบัดและทะนุถนอมตัวเองได้ และถ้าจะให้ได้ผลควรมีเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงขึ้นไป
5.คลับสปา (club spa) สปาที่มีบริการในคลับ ฟิตเนส
6.ครูซชิปสปา (cruise ship spa) สปาที่ให้บริการขณะอยู่บนเรือสำราญ
7.มิเนอรอลสปริงสปา (mineral spring spa) สปาที่มีน้ำแร่ หรือน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ
ใน “สปา “มีบริการอะไรบ้าง
สปาไม่ได้หมายถึงการบำบัดด้วยน้ำแร่หรือน้ำพุร้อนเพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน “สปา”ของไทยส่วนใหญ่อยู่ตามโรงแรมและรีสอร์ตหรูหรา และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าไปเพื่อการบำบัดรักษาโรค และทุกวันนี้ สปาเป็นธุรกิจที่ประยุกต์กันหลากหลายรูปแบบเพิ่มขึ้น โดยมักจะเน้นในเรื่องของการบำรุงร่างกายและเสริมความงามเป็นจุดขาย การบำบัดแบบต่างๆ ของสปา มีหลากหลาย ดังนี้
1.อโรมาเทอราพี (aroma-therapy)
อโรมาเทอราพี เป็นการบำบัดโดยน้ำมันหอมระเหย ซึ่งสกัดจากส่วนต่างๆ ของพืช สมัยอียิปต์มีการใช้น้ำมันหอม ระเหยเพื่อฆ่าเชื้อโรคและไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็น ส่วน ชาวกรีกนิยมดื่มไวน์และเชื่อว่าไวน์ที่มีกลิ่นหอมจะทำให้เมาน้อยกว่า ชาวอิสลามใช้น้ำมันหอมระเหย ผสมกับปูนในการก่อกำแพงสุเหร่า เพื่อให้มีกลิ่นหอม น้ำมันหอมระเหยที่ดีที่สุด ต้องมาจากแหล่งที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ฆ่าแมลง และปุ๋ยเคมี
ตัวอย่างบางส่วนของน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติที่มีใช้ในสปาทั่วไป
มะลิ หรือจัสมิน น้ำมันหอมกลิ่นดอกไม้หวาน คุณสมบัติคลายความ เครียด ให้ความชุ่มชื้น และเย็นผิวหนัง ลดอาการวูบวาบในวัยหมดประจำเดือน กระตุนความรู้สึกทางเพศ
โหระพา หรือเบซิล ทำให้ สดชื่น ลดความเครียด เพิ่มสมาธิ หากประคบเย็นช่วยลดอาการบวมอักเสบจากแมลงกัดต่อย
พริกไทยดำ หรือแบล็กเปปเปอร์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด แก้ปวด ทำให้อบอ่น
โรสแมรี่ บรรเทาจิตใจห่อเหี่ยวและเศร้าหมอง สร้างสมาธิ กระต้น การไหลเวียนของเลือด ขจัดรังแค ทำให้เส้นผมเป็นเงางาม บรรเทาอาการปวดไมเกรน
เมล็ดแครอต หรือแครอตซีด ผสมกับน้ำมันตัวพา (คือน้ำมันพื้นฐานใช้ผสมเพื่อเจือจางน้ำมันหอมระเหย)นวดผิวที่แห้งและมีรอยเหี่ยวย่น
ซีดาร์ กลิ่นคล้ายแก่นจันทน์ คุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค กระตุ้น ขับเสมหะ เสริมพลัง
คาโมไมล์ เป็นน้ำมันหอมระเหย ที่นิยมมากเพราะมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยให้ผ่อนคลาย รักษาอาการไซนัส ปวดศีรษะ ไมเกรน อาการบวมน้ำ
อบเชย หรือซินนามอน กลิ่นบรรเทาอาการไข้ ประคบเย็นบรรเทา อาการแมลงกัดต่อย
ตะไคร้หอม หรือซิโทรเนลลา มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและดับกลิ่น บรรเทาอาการระคายเคืองและบวม ขับไล่แมลง
กานพลู หรือโคลฟ มีสารฆ่าเชื้อและแก้ปวด กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ แก้อาการปวดฟัน
ขิง กลิ่นที่มีชีวิตชีวา ทำให้ตื่นตัว บรรเทาอาการเหนื่อยล้า ลดความ เครียด และวิตกกังวล กระตุนความรู้สึกทางเพศ
ลาเวนเดอร์ นิยมมากระดับโลก เป็นยาบรรเทาอาการปวด ฆ่าเชื้อโรค แก้โรคซึมเศร้า ระงับประสาท รักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุก
เลมอน มีกลิ่นหอมอ่อน สดชื่น กระต้นให้เข้มแข็งมีพลัง บรรเทา อาการเมื่อยล้า แก้โรคซึมเศร้า ระงับกลิ่นปาก รักษาจุดด่างดำบนใบหน้า
กุหลาบ หรือโรส บรรเทาอาการเก็บกด คลายความเครียด นอนหลับสบาย ประคบเย็น บรรเทาอาการปวด และเมื่อยตา ระงับกลิ่นปาก รักษาอาการเจ็บคอ กระต้นอารมณ์ทางเพศ
กฤษณา หรืออะการ์วู้ด (ไม้หอม) มีกลิ่นหอมหวาน มีคุณสมบัติกระตุ้นอารมณ์เพศ
แก่นจันทน์ ไม้จันทน์ หรือแซนเดิ้ลวู้ด มีกลิ่นหวานเข้มข้น ให้ความชุ่มชื้นผิว ลดอาการผิวอักเสบ สมานผิว ผ่อนคลายจิตใจให้สงบ ช่วยให้นอนหลับ ปรุงแต่งอารมณ์หดหู่ให้มีความสุข กระตุ้นอารมณ์ และความ รู้สึกทางเพศ
การบำบัดด้วยกลิ่นนี้ ทุกคนสามารถทำด้วยตนเองได้แต่ควรรู้ด้วยว่ากลิ่นที่เราชอบนั้นสกัดมาจากพืชชนิดใด และตัวเราแพ้กลิ่นหรือพืชชนิดใด
2.บำบัดด้วยเสียง (sound therapy)
การใช้เสียงสร้างบรรยากาศเพื่อผ่อนคลายประสาทหูและจิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นการเปิดโอกาสให้หูได้รับฟังในสรรพเสียงที่รู้สึกชื่นชอบ เช่น เสียงธรรมชาติ เช่น เสียงลมพัด นกร้อง ฝนตก เสียงน้ำตก เสียงประเภทนี้มีผลในการผ่อนคลายจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะเสียงธรรมชาติจะช่วยสร้างความรู้สึกสงบ ลึกล้ำ ทำให้เพลิดเพลินใจได้อย่างไร้รู้ตัว เสียงที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น เสียงเพลงบรรเลงจากกีตาร์ เปียโน ถ้าเป็นเสียงเพลงที่มีเนื้อร้องจะรบกวนความสงบเงียบของสภาพแวดล้อม
3.อายุรเวท (ayurvedic medicine)
การแพทย์แบบองค์รวมของอินเดีย อายุรเวท มาจากคำว่า อายุร แปลว่า ชีวิต และ เวท แปลว่า ศาสตร์ หรือความรู้ ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยธาตุพื้นฐาน 3 ส่วน
ควบคุมกระบวนการทำงานของร่างกายและจิตใจ ประกอบด้วย วาตะ หรือลม เคลื่อนไหวอยู่เสมอ ควบคุมการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง คัพภะ ควบคุมความสมดุลของน้ำ เปรียบได้กับการทำงานของดวงจันทร์ที่ควบคุมการขึ้นลงของกระแสน้ำ ปิตตะ แหล่งพลังงานทำหน้าที่ควบคุมระบบชีวเคมีของร่างกายเปรียบได้กับดวงอาทิตย์ สุขภาพกายและใจที่ดีสมบูรณ์นั้น เกิดจากการทำงาน อย่างสมดุลของพลังทั้ง 3
นอกจากนี้การรักษาแบบอายุรเวทประกอบด้วย การใช้ยา ที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ผัก สมุนไพร แร่ธาตุ
การกินอาหาร ตามสภาพของผู้ป่วยและตามฤดูกาล การฝึกปฏิบัติ ได้แก่ การทำสมาธิ โยคะ การนวด การสวนทวาร
4.การนวดบำบัด (massage)
การสัมผัสระหว่างกันของคนเรา มีผลต่อสุขภาพทางร่างกายและจิตใจของผู้ที่สัมผัสและผู้ถูกสัมผัส
การนวดเป็นการบำบัดที่สืบทอดกันมายาวนาน ช่วยให้รู้สึกสบายทั้ง กายและใจ กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ระบบไหลเวียนเลือดและระบบน้ำเหลืองดีขึ้น การนวดมีหลายรูปแบบ แต่ปัจจุบันสปาส่วนใหญ่จะเน้นการนวดเพื่อผ่อนคลายมากกว่าการนวดเพื่อรักษาโรค
การนวดในแต่ละรูปแบบมีข้อปฏิบัติกว้างๆ ดังนี้
ควรเปิดเพลงเบาๆ เพื่อให้ผู้นวดและผู้ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลาย
เลือกพื้นที่พอเหมาะ คือไม่อ่อนหรือแข็งเกินไป
ไม่ควรเทน้ำมันลงบนตัวผู้ถูกนวดโดยตรง ให้เทใส่ฝ่ามือผู้นวด แล้วถูให้อุ่นก่อนลงมือนวด
ไม่สวมเสื้อผ้าที่คับแน่น และควรถอดเครื่องประดับออก
พื้นฐานการนวดมี 4 แบบ คือ การไถ การกด การทุบ การบีบขยำ
เลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรืออาจประยุกต์รวมกันก็ได้
การไถ ใช้มือทั้ง 2 ข้างไถบนบริเวณที่นวดเป็นทางยาวอย่างเบาๆ และช้าๆ มือทั้ง 2 ข้างมาวางใกล้กันให้ระยะหัวแม่มือทั้ง 2 ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว ไถเป็นจังหวะ หากต้องการนวดหนักขึ้นให้ใช้หัวแม่มือ
หรือแรงที่ข้อนิ้ว แต่ถ้าต้องการนวดเพียงเบาๆ ให้ใช้ปลายนิ้วหรือฝ่ามือไถ
การทุบเป็นวิธีนวดที่เลียนแบบการตีกลอง หรือสับแบบคาราเต้ คือใช้สันมือกำหลวมๆ สับเร็วๆ น้ำหนักแรงพอดีสบายๆ นิยมใช้นวดต้นขา ก้น หลัง และไหล่
การบีบขยำ ใช้มือขยำกล้ามเนื้อ ขึ้นมาบี้นิดเดียวพอให้รู้สึกแล้วปล่อย นิยมใช้นวดหน้าท้อง หรือเอวขณะที่นวดต้องเคลื่อนไหวมือให้เป็นจังหวะต่อเนื่อง
การกด เป็นวิธีนวดทีละจุด ใช้นิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว เคลื่อนเป็นวงกลม บางครั้งให้ใช้หัวแม่มือหรือสันมือกด แรงกดจะชวยกระตุ้นการไหวเวียนเลือด หากมีอาการช้ำหรือเจ็บห้ามกดบนตำแหน่งนั้นๆ
5.โยคะบำบัด (yoga)
โยคะเป็นคำภาษาสันสกฤต หมายถึง การเชื่อมต่อ ผสมผสานฝึกจิตวิญญาณ จิตใจ ร่างกาย โยคะบำบัดช่วยปรับความสมดุล ระหว่างกาย ใจ และจิตวิญญาณ และการฝึกโยคะสม่ำเสมอจะทำให้จิตใจมีความสงบ มีพลังชีวิตที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ
6.สมาธิบำบัด (meditation)
สมาธิ คือ ศิลปะในการทำให้ จิตใจสงบ การฝึกสมาธิเป็นวิธีการปลดปล่อยความวิตกกังวล ความเครียด
เพื่อให้เกิดความสงบและผ่อนคลาย คนในทวีปเอเชียฝึกสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ มาหลายพันปีแล้ว ผลการ วิจัยทางการแพทย์พบว่า สมาธิมีผลดีต่อการทำงานของสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด
ประโยชน์ที่ได้จากการฝึกสมาธิ ทำให้อารมณ์เยือกเย็น เผชิญเหตุการณ์เฉพาะหน้า แก้ไขความวุ่นวายที่เข้ามาได้อย่างมีสติ ทำให้ความจำดี มีความคิด สร้างสรรค์ ทำงานได้มากและมีประสิทธิภาพ มีผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้โรคสงบ ไม่ว่าจะเป็นไมเกรน ความดัน
7.วารีบำบัด (hydro therapy)
ศาสตร์ที่มีอายุยาวนานกว่า 2,000 ปี ตั้งแต่สมัยกรีกรุ่งเรือง และตกทอดจนถึงทุกวันนี้ โดยมีรูปแบบแตกต่างกันไป ตั้งแต่การแช่ตัว อบตัว ห่อตัว การคบ การสูดดม หรือใช้น้ำร้อนจัดสลับเย็นจัด การฉีดน้ำ การรดน้ำ การว่ายน้ำ
การบำบัดฟื้นฟูด้วยโคลน (mud therapy) ก็เป็นวารีบำบัดอย่างหนึ่ง มีการวิเคราะห์แล้วว่ามากด้วยวิตามิน เกลือแร่ และซากพืชที่มีคุณค่าต่อ สุขภาพ ส่วนจะใช้วิธีพาตัวเองลงไปนอนแช่โคลน หรือนำโคลนมาพอกตัวหรือพอกบางส่วน สปาริมทะเลบางแห่งมีบริการหมกทราย (sand therapy)ให้ลูกค้าด้วย
เตรียมตัวไปสปา
การไปสปาเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ดังนั้นควรทิ้งภาระต่างๆ ไว้นอกสปา
1.ปกติแล้วโปรแกรมนวดทั่วไปใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เพื่อการ พักผ่อนเต็มร้อยจริงๆ ควรเลือกทั้งการนวด ขัดตัว พอกตัว และอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ช่วยให้การเติมพลังงานได้ผลจริงๆ
2.สปามีตู้เซฟไว้คอยบริการรับฝากของมีค่าของลูกค้า แต่ทางที่ดี ไม่ควรนำของมีค่าติดตัวไปจะได้ไม้กังวล
3.พนักงานในสปาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ถ้าต้องการเพศชายก็สามารถแจ้งความจำนงก่อนได้
4.เลือกรูปแบบการนวดที่เหมาะสมกับตัวเอง ถ้าไม่เคยนวดมา ก่อนก็ควรจะเลือกรูปแบบการนวดที่เบาๆ ก่อน เพราะการเลือกที่หนักๆ อาจเกิดอันตรายได้ หรือไม่เชนนั้นรุ่งขึ้นอาจจับไข้ได้
5.ขณะนวดจะต้องเปลือยกาย แต่มีบริการกางเกงในกระดาษไว้ ใหลูกค้าที่ไม่ชินด้วย
6.ควรอาบน้ำอุ่นก่อน เพื่อเป็นการเตรียมร่างกาย ทำนองอุ่นเครื่องก่อนนวด น้ำอุ่นช่วยให้ผิวเปิดรูขุมขน เตรียมพร้อมรับผลิตภัณฑ์นวดที่จะเข้าสู่ผิวหนังด้านในอย่างเต็มที่
7.ควรบอกพนักงานนวดว่า ต้องการนวดแบบหนักเบามากน้อยขนาดไหน
8.ไม่ควรไปนวดทันทีหลังกินอาหาร ควรรอเวลาหลังกินอาหารประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง กรณีที่ควรงดไปสปาเลย ก็คือ เป็นไข้หวัด ภูมิแพ้ โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน และหญิงตั้งครรภ์ช่วง 3-4 เดือนแรก และหญิงที่มีรอบเดือน
9.ระหว่างนวด ควรปิดเครื่องมือสื่อสาร เพราะการไปสปาเพื่อการ พักผ่อนและเติมพลัง ไม่ควรให้เรื่องยุ่งๆ ตามเข้าไปในสปา
10.ก่อนและหลังไปสปา ควรดื่มน้ำอุ่นสะอาดมากๆ เพราะน้ำช่วย รักษาสมดุลให้ร่างกาย
การทำ สปา ในบ้าน
ความสุขของคนในครอบครัวที่อยู่ร่วมกันด้วยการเอาใจใส่ มีความ อบอ่น เพียบพร้อมด้วยความรักและสายใยแห่งความผูกพันย่อมทำให้บ้านที่พักอาศัยเป็นบ้านที่สมบูรณ์ ทุกคนสามารถช่วยกันสร้างบรรยากาศของบ้านให้เป็นสถานที่พักผ่อนของคนในครอบครัวได้ เพียงแต่ใช้ความสังเกตและพิถีพิถันในรายละเอียดของวิถีชีวิตในแต่ละวันอีกเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพักผ่อนนอนหลับ อาหารการกิน การออกกำลังกาย การผ่อนคลายความตึงเครียดจากความเหนื่อยล้าในแต่ละวันทำงาน
การทำ “สปา” ในบ้านเป็นวิธีการรักษาสมดุลให้ร่างกายและจิตใจ สะดวกกับทุกคนในครอบครัว
โดยท่านอาจจะเริ่มจากการสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของบ้านให้สะอาด รื่นรมย์ น่าอยู่อาศัย สอดคล้องกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 นั่นคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โดยการจัดสรรพื้นที่ที่มีอยู่ให้เหมาะสม พื้นที่ของสปาในบ้าน
1.พื้นที่ในการออกกำลังกาย รูปแบบต่างๆ เช่น โยคะ เต้นแอโรบิก ถ้าชอบความเป็นส่วนตัวก็เตรียมห้องสักห้องหนึ่ง และหาอุปกรณ์ในการออกกำลังกายมาตั้งเอาไว้ ถ้าออกกำลังกายแบบปกติที่ไม่ใช้ อุปกรณ์อะไร อาจเตรียมผ้านุ่มๆ สักผืนมาปูไว้สำหรับทำโยคะ แต่ถ้าชอบ ออกกำลังกายกลางแจ้งจะใช้บริเวณหน้าบ้าน หรือหลังบ้านก็ได้
2.พื้นที่สำหรับบำรุงผิวพรรณ โดยการการขัดตัว นวดตัว ควรเป็นสถานที่มิดชิด และเป็นสถานที่ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
3.พื้นที่ในการบำบัดด้วยน้ำ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องก็คือ อ่าง อาบน้ำ และเครื่องทำน้ำร้อน
4.พื้นที่สำหรับบำบัดและผ่อนคลายจิตใจ นอกจากการผ่อนคลายทางร่างกายแล้ว การผ่อนคลายทางจิตใจ ก็มีความสำคัญไม่น้อย การนั่งสมาธิ และฟังเสียงจากธรรมชาติต่างๆ จะช่วยให่จิตใจสงบและผ่อนคลายได้มากทีเดียว
สุขภาพ ไม่สามารถซื้อหาได้ แต่จะต้องปฏิบัติด้วยตัวเองเพราะสุขภาพเกี่ยวข้องกับร่างกายและจิตใจของแต่ละบุคคล คน 100 คนก็มีวิถีชีวิต 100 รูปแบบที่แตกต่างกัน ทว่ารูปแบบหรือหลักแห่งการดำเนินชีวิตของบุคคลอื่นนั้น บางสิ่งบางอย่างสามารถถ่ายทอด แนะนำให้เพื่อนพ้องน้องพี่สามารถนำไปปรับใช้ และเกิดผลในทางที่ดีขึ้นต่อสุขภาพ ด้วยข้อจำกัดของเวลา สถานที่พักอาศัย สถานที่ทำงาน และการเดินทาง ส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย จิตใจ ของผู้คนในสังคมเมืองอย่างมาก ซึ่งแต่ละคนก็พยายามแสวงหาวิธีการบำบัดและฟื้นฟูสภาพร่างกายจิตใจของตนเองให้พร้อมกับสถานการณ์ต่างๆ
Recent Comments